เป็นสนามบินขนาดเล็ก รองรับได้แค่เครื่องบินแบบใบพัดเท่านั้น 2. ใช้เวลา 4 ปี กว่าจะได้เปิดใช้หลังก่อสร้างเสร็จ 3. สายการบินเชิงพาณิชย์ที่ได้ไปทำการทดลองบินมาแล้วคือ "สายการบินนกแอร์" 4. มีพื้นที่ 920 ไร่ ระยะรันเวย์ 1, 800 เมตร 5. มีการศึกษาเส้นทาง หาดใหญ่ - เบตง และ ภูเก็ต - เบตง เพิ่มเติมแล้ว 6. เป็นสนามบินสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 7. เป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ในภูมิภาคพื้นที่ภาคใต้ต่อเนื่องมาเลเซียและสิงคโปร์ 8. มีศักยภาพรองรับเครื่องบินขนาด 80 ที่นั่งได้จำนวน 3 ลำ 9. ตกแต่งด้วย "ไม้ไผ่" สะท้อนเอกลักษณ์ท้องถิ่น เนื่องจาก "เบตง" หรือ "บือตง" เป็นภาษามลายู แปลว่า "ไม้ไผ่" 10.
กำหนดกรอบไว้ว่าเราคงไม่สามารถเพิ่มค่าจ้างเพิ่มได้ถือว่าเป็นอุปสรรค นอกจากนี้เรื่องของสตรีอยากเน้นเรื่องความปลอดภัยทั้งไฟฟ้าส่องสว่าง ช่วยหรือเอื้อผู้หญิงที่ทำงานกลับบ้านดึกให้ได้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งเราจะใช้หน่วยงานเทศกิจมาช่วยกันได้ นายสกลธี ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้เราอยู่ในสังคมผู้สูงอายุที่จะพบจำนวนมากขึ้นในทุกๆ ปี เพราะฉะนั้นหลายนโยบายของตนเองจะเอื้อไปทางผู้สูงอายุเป็นหลัก เช่น ศูนย์สาธารณสุขของ กทม. ควรจะปรับให้เป็นสมาร์ทคลินิก โดยใช้ระบบTelemedicine เพื่อทำให้การเดินทางของผู้สูงอายุสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงระบบที่จะคอยดูแลผู้สูงอายุติดเตียงที่บ้าน เช่นนาฬิกาที่ติดกับผู้สูงอายุที่จะคอยแจ้งได้ว่าชีพจรปกติตก หรือมีอาการหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ของกทม. จะสามารถเข้าหาได้เลย เป็นการช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องมีคนมาคอยดูแลเสียเวลาทั้งวัน ส่วนการจ้างงานผู้สูงอายุ กทม. สามารถทำเป็นโครงการต่างๆเพื่อจะเอื้อผู้สูงอายุที่กำลัง สามารถที่จะทำกิจกรรมง่ายๆในชุมชน นายสกลธี กล่าวอีกว่า ส่วนคนพิการได้ดำเนินการหลายอย่างเต็มที่ ตามพ. ร. บ. คุ้มครองคนพิการ หน่วยงานรัฐหรือเอกชน ถ้าไม่อยากส่งเงินเข้ากองทุนต้องจ้างงานคนพิการ 1% ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานใดที่จ้างเงินถึง 1% สมัยเป็นรองผู้ว่าฯ พยายามผลักดันตรงนี้แล้วประสบความสำเร็จ โดยได้ของบจ้างงานคนพิการไปกว่า 300 ตำแหน่ง นอกจากนี้โรงเรียนฝึกอาชีพคนพิการซึ่งเราก็ทำสำเร็จก่อนที่จะลาออกเช่นกัน และสิ่งสำคัญคือเราได้ทำเว็บไซต์หางานให้คนพิการได้สำเร็จเพื่อให้บริษัทต่างๆรับไว้เข้าทำงาน ส่วนเรื่องเด็กเล็กนั้นกทม.
ที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยทันที และดำเนินการตามข้อเรียกร้องให้ครบถ้วน โดยข้อเรียกร้องของขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชนมีดังนี้ 1. ขบวนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชนขอยืนยันข้อเรียกร้องเดิมตามที่ได้ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯในการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา โดยมีข้อเรียกร้องอย่างชัดเจนว่าขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ยุติกระบวนการร่างกฎหมายฉบับนี้และฉบับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทุกฉบับ (รวมถึงร่างกฎหมายการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงด้วย) และขอให้ พม. หยุดถ่วงรั้งการพัฒนา หยุดทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน หยุดทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการกำจัดกลุ่ม องค์กร ขบวนประชาชนที่เห็นต่างทางการเมืองด้วยการหยุดการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นและนำเรื่องนี้ไปหารือในคณะรัฐมนตรีเพื่อให้หยุดกระบวนการในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ. โดยทันที เพราะการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชนจำนวนมากที่ลุกขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ด้วยการจัดตั้งกลุ่ม องค์กร สมาคม ฯลฯ เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริม ร่วมมือ อุดช่องโหว่และวิพากษ์วิจารณ์รัฐในการสร้างสรรค์สังคมให้งดงามและก้าวไปข้างหน้าดังนั้น จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯไปดำเนินการให้ครบถ้วนตามข้อเรียกร้องที่ได้ยื่นหนังสือไว้แล้ว มิใช่บิดเบือนหรือไม่ใยดีต่อข้อเรียกร้องด้วยการขยายเวลาการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มไปอีก 7 วัน 2.
ห้วยปูลิง อ. เมือง แม่ฮ่องสอน ในเวลานี้ชาวบ้าน 563 หลังคาเรือน 11 หมู่บ้าน มีจำนวน 3, 162 คน เป็นกะเหรี่ยงทั้งหมด เขาสืบทอดวิถีวัฒนธรรมไร่หมุนเวียนของบรรพบุรุษมานานกว่า 200 ปีแล้ว ณ บ้านหนองขาวกลาง ในตำบลนั้น ไร่หมุนเวียนมีรอบระยะ 10 ปี สำหรับชาวบ้านกว่า 300คนทั้งหมู่บ้าน ใช้พื้นที่ปีละ 50 ไร่ การหมุนเวียน 10 รอบ 10 ปี จะใช้พื้นที่รวม 500 ไร่ พอเข้าปีต่อไปก็จะขยับไปยังพื้นที่ 50 ไร่ ต่อไปเมื่อครบ 10 ปี พื้นดิน 50 ไร่แรก จะสั่งสมความอุดมสมบูรณ์เต็มที่รอรับความงอกงามของข้าวไร่และพืชผักรอบระยะถัดไป พะตีจ่อโก นายก อบต. ห้วยปูลิง ให้สัมภาษณ์ คุณภาสกร จำลองราช แห่งสำนักข่าวชายขอบว่า "ที่บ้านหนองขาวกลาง เรามีคณะกรรมการไร่หมุนเวียนของหมู่บ้านประชุมตกลงกันทุกปีว่าใคร จะใช้พื้นที่มากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครไปรุกป่าเพิ่ม เป็นความเชื่อของบรรพบุรุษที่ช่วยกัน สืบทอดรักษา" ย้อนไปเมื่อ 4 เมย. 64 ผู้เขียนไปเยือน บ้านห้วยหินลาดใน อ. เวียงป่าเป้า จ. เชียงราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำชั้นหนึ่ง A เด็กหนุ่มกระเหรี่ยง ชื่อ "ใจ" พาเดินดูพื้นที่ไร่หมุนเวียน ซึ่งห่างจากหมู่บ้านราว 2 กม.