ที่ผ่านการเห็นชอบของ สนช. มีสาระสำคัญเพื่อปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินและกฎหมายว่าด้วยภาษีบำรุงท้องที่ จำนวน 12 ฉบบับ ให้รวมเป็นฉบับเดียวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน ให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ตามอัตราจัดเก็บภาษีที่ คณะกรรมการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำจังหวัดกำหนด แต่หากมีปัญหา หรือต้องหาคำแนะนำ กฎหมายกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่มี ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานเป็นผู้ดำเนินการ ร่างกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์การจัดเภ็บภาษีที่สำคัญ คือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประกอบด้วย 1. ด้านเกษตรกรรม เก็บภาษีไม่เกิน 0. 15 เปอร์เซ็นต์ของฐานภาษีที่คำนวณได้จากราคาประเมิน, 2. ที่อยู่อาศัย เก็บภาษีไม่เกิน 0. 3 เปอร์เซ็นต์ของฐานภาษี ทั้งนี้ร่างกฎหมายกำหนดบทยกเว้นมูลค่าฐานภาษีที่ 50 ล้านบาท โดยไม่ให้นำมาคำนวณการเก็บภาษี กรณีที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน, และยกเว้นมูลค่า ฐานภาษีที่ 10 ล้านบาท กรณีเป็นบุคคลธรรมดาที่เป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง แต่ไม่เป็นเจ้าของที่ดิน 3. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่น นอกจากทำเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย ให้เก็บภาษี ไม่เกิน 1.
มีอำนาจยื่นศาลฎีกาเพื่อสั่ง 'เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง' ทั้งนี้ มีสมาชิก สนช. ติดใจว่าการเขียนในบทเฉพาะกาลให้โควตาอาชีพหรือกลุ่มอาชีพผู้สมัคร ส. ได้ อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ สำหรับขั้นตอนต่อไป สนช. จะส่งร่างให้นายกรัฐมนตรี และพักไว้ 5 วัน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่ถ้าสมาชิก สนช. เห็นว่ามีประเด็นใดขัดหรือไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ สามารถเข้าชื่อจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ส่งเรื่องให้ประธาน สนช. เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งจะส่งผลให้นายกรัฐมนตรีต้องชะลอการนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ที่มา Tags: การเลือกตั้ง, ส. ส., ส. ว., กฎหมาย, กฎหมายลูก, กกต., สนช.
การสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ส่งผลให้รัฐสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส. ส. ) และสมาชิกวุฒิสภา (ส. ว. ) ต้องยุติหน้าที่ผู้แทนปวงชนในการพิจารณาร่างกฏหมายไปทันที อย่างไรก็ตามโชคดีที่ รัฐธรรมนูญฉบับ(ชั่วคราว) 2557 กำหนดให้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) สามารถแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช. ) เข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวแทน ส. และ ส. การทำหน้าที่ของสนช. เป็นตามพิมพ์เขียว (Road map) ระยะที่สอง ที่จะนำประเทศไปสู่การเลือกตั้งและมีประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย ด้วยเหตุนี้ จึงน่าสนใจว่าพวกเขาเป็นใคร? มาจากไหน? และมีขั้นตอนการทำงานอย่างไร? การเดินทางของกฎหมายในสภาฯ ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 (ภาพจาก ประชาไท) รู้จัก สนช. กันหน่อย สนช. คือ กลุ่มบุคคลที่ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) แต่งตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ(ชั่วคราว) ฉบับ 2557 เพื่อทำหน้าที่เสนอ เห็นชอบ และกลั่นกรองกฎหมายแทนสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา ซึ่งจะมีสมาชิกไม่เกิน 220 คน โดยวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 มี บรมราชโองการแต่งตั้ง สนช. เป็นครั้งแรกจำนวน 200 คน ประกอบไปด้วย ทหารทั้งในและนอกราชการ 105 คน แบ่งเป็น 3 เหล่าทัพ ทหารบก 67 คน ทหารเรือ 19 คน และทหารอากาศ 19 คน ตำรวจ 10 คน และพลเรือน 85 คน แบ่งเป็นอดีต ส.
2551 ระบุในมาตรา 12 ว่า "ให้องค์การมีอํานาจจัดเก็บเงินบํารุงองค์การจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมาย ว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ ในอัตราร้อยละหนึ่งจุดห้าของภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตาม กฎหมายว่าด้วยสุราและกฎหมายว่าด้วยยาสูบ และจัดสรรให้เป็นรายได้ขององค์การ โดยให้มีรายได้ สูงสุดปีงบประมาณละไม่เกินสองพันล้านบาท" แปลความง่ายๆว่า ให้นำรายได้จากภาษีสรรพสามิตในส่วนสุราและยาสูบ ร้อยละ 1. 5 โดยมีเพดานอยู่ที่ปีละไม่เกิน 2, 000 ล้านบาท และให้มีการทบทวนทุกสามปี 3. "กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ" ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการกีฬาของชาติ และมีรายได้หลักจาก ภาษีสรรพสามิตในส่วนของสุราและยาสูบตามมาตรา 37 ของ พ. การกีฬาแห่งประเทศไทย พ.
ที่กล่าวอ้างขึ้นใหม่ ทั้งที่พยาน 2 ปากนี้ไม่เคยให้การกับพนักงานสอบสวนมาก่อน เพิ่งปรากฏตัว ปี 2562 ภายหลังวันเวลาเกิดเหตุนานถึง 7 ปี ซึ่งปกติพยานลักษณะนี้ ไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือรับฟังได้ แต่อัยการกลับรับฟังคำพยาน จนมีคำสั่งให้กลับคำสั่งเดิมเปลี่ยนจากคำสั่งฟ้องมาเป็นสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ โดยเชื่อพยานหลักฐานใหม่ที่ กมธ. กฎหมาย สนช. ส่งให้ สตช. ไม่แย้งทำให้คดีถึงที่สุด นายเชาว์ ยังระบุถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า รัฐบาลซึ่งตอนนี้หนีไม่พ้นข้อครหา เพราะมีการใช้ คณะกรรมาธิการกฎหมาย ยุคสนช. มีชื่อน้องชายพลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมาธิการ รื้อคดีสอบเองจนกลายเป็นจุดเปลี่ยนของคดี ทำให้เกิดคำถามว่ามีบิ๊กคนไหนเข้าไปสร้างกระบวนการฟอกผิดเป็นถูกให้กับทายาทมหาเศรษฐีหรือไม่ "ฐานเศรษฐกิจ" ตรวจสอบพบว่า คณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ ในยุค สนช.
ประจวบคีรีขันธ์ ที่มาภาพ: จากรายงานไอลอว์: "เมื่อพิจารณาระยะเวลาในการออกฎหมายของ สนช. พบว่า …ร่างกฎหมายที่พิจารณาเร็วที่สุด พิจารณา 3 วาระรวดภายใน 1 วัน มีจำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 63), ร่าง พ. กองอาสารักษาดินแดน และร่าง พ. ระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม (องค์ประกอบคณะกรรมการข้าราชการยุติธรรม)" นอกจากนี้ ต้องบันทึกไว้ว่า สนช. ชุดนี้มีประวัติการแก้กฎหมายที่ตัวเองออกอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ ภายหลังจากที่ พ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (แก้ไขเรื่องค้ำประกันและจำนอง) มีผลบังคับใช้ได้เพียง 1 วัน สนช. ก็ผ่าน พ. ฉบับแก้ไข โดยแก้ให้นิติบุคคลในฐานะผู้ค้ำประกันสามารถรับผิดเฉกเช่นลูกหนี้ร่วมได้ เพื่อแก้ไขปัญหาที่กฎหมายเดิมอาจส่งผลกระทบต่อโครงการของรัฐที่มีธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ค้ำประกัน เมื่อหันมาดูกฎหมายที่ประชาชนเป็นผู้ริเริ่ม พบว่า ก่อนการรัฐประหาร ภาคประชาชนเคยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2550 เข้าชื่อกัน 10, 000 คน เพื่อเสนอร่างกฎหมายให้รัฐสภาพิจารณามาแล้วอย่างน้อย 50 ฉบับ มีร่างกฎหมายที่รัฐสภารับไว้พิจารณาแล้วแต่ยังไม่เสร็จ 26 ฉบับ เมื่อ สนช.
ช่วงบ่ายของวันนี้ (8 มี. ค. ) ที่ประชุม สนช. มีมติเห็นชอบกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับสุดท้าย คือ พ. ร. ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส. ส. (คะแนน 211 ต่อ 0 งดออกเสียง 7) และ พ. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส. ว. (คะแนน 201 ต่อ 1 งดออกเสียง 13) ก่อนหน้านี้ หลังจาก สนช. เห็นชอบร่าง พ. และร่าง พ. วาระที่สาม แต่ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับยังไม่เป็นที่ถูกใจของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ. ) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. ) จึงนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญร่วมสามฝ่าย ซึ่งประกอบด้วยประธาน กกต. กรธ. 5 คน และ สนช. 5 คน เพื่อพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายให้เป็นที่ยอมรับของทั้งสามฝ่าย ก่อนส่งผลการพิจารณาให้ที่ประชุม สนช. พิจารณาเห็นชอบอีกครั้งในวันนี้ ประเด็นสำคัญของการพิจารณา มีดังนี้ พ. ส. ให้หมายเลขผู้สมัคร ส. ของแต่ละพรรคในแต่ละเขตเป็นไปตามลำดับการสมัคร หรือหมายความว่าผู้สมัครพรรคเดียวกันในแต่ละเขตจะไม่ใช้หมายเลขเดียวกัน ห้ามการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ กำหนดเวลาการออกเสียงลงคะแนนตั้งแต่ 08. 00-17. 00 น. ให้บุคคลอื่นหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งช่วยลงคะแนนแทนคนพิการหรือผู้สูงอายุได้ กำหนดให้ค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่ กกต.